ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับน้ำมัน ตอนนี้เราทราบแล้วว่าจำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเป็นประจำ เพราะจะส่งผลดีต่อรถยนต์เพราะทำให้เครื่องยนต์สะอาดและน้ำมันใหม่ทำหน้าที่ได้อย่างเหมาะสมแต่หากคุณยังสงสัยว่า จริงๆ แล้ว น้ำมันเครื่องทำงานอย่างไรกันแน่ มาเริ่มกันตั้งแต่ต้นน้ำมันที่ใช้กันในรถมีส่วนประกอบหลักๆ อยู่สองส่วน นั่นคือน้ำมันพื้นฐานและสารเติมแต่งน้ำมันพื้นฐานจะเป็นตัวที่ทำให้น้ำมันเครื่องทำหน้าที่ได้ถูกต้อง นั่นคือการหล่อลื่นส่วนที่เคลื่อนไหวในเครื่องยนต์เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการสึกหรออันเนื่องมาจากการเสียดสีกันส่วนสารเติมแต่งจะช่วยปกป้องเครื่องยนต์โดยช่วยป้องกันไม่ให้น้ำมันเสื่อมคุณภาพจากการทำงานที่มีอุณหภูมิสูงมากๆจากเครื่องยนต์ น้ำมันพื้นฐานได้มาจากการกลั่นน้ำมันดิบ (ที่ได้จากการสูบจากพื้นดิน)น้ำมันดิบจะผ่านกระบวนการกลั่นหลายขั้นตอนก่อนที่จะได้น้ำมันที่เหมาะกับการใช้เป็นน้ำมันเครื่องส่วนผสมที่ไม่ต้องการ เช่น ขี้ผึ้ง, กำมะถันและส่วนประกอบของไนโตรเจนต้องถูกกำจัดออกไปส่วนของไฮโดรคาร์บอนที่ไม่อิ่มตัวจะถูกสกัดทำให้โมเลกุลเสถียรมากขึ้นน้ำมันดิบจะถูกกลั่นด้วยระบบสุญญากาศเพื่อให้ได้น้ำมันพื้นฐานที่มีระดับความหนืดต่างๆกันผลผลิตที่ได้ในแต่ละกระบวนการจะนำไปผลิตเป็นน้ำมันพื้นฐานต่างๆ มีดังนี้ § การสกัดด้วยตัวทำละลายโดยการใช้ตัวทำละลายสกัดแยกสารประกอบไฮโดรคาร์บอนชนิดอิ่มตัวและไม่อิ่มตัวออกจากกัน § ไฮโดรรีไฟนิ่ง เป็นการกำจัดสารประกอบไนโตรเจน และซัลเฟอร์ทำให้น้ำมันมีสีสวยขึ้น เพิ่มความสามารถในการต้านทานการทำปฏิกิริยากับออกซิเจนและทนต่ออุณหภูมิได้สูงขึ้น § ไฮโดรทรีทติ้ง- เป็นขั้นตอนการเปลี่ยนไฮโดรคาร์บอนที่ไม่อิ่มตัวเป็นไฮโดรคาร์บอนอิ่มตัวเป็นการเพิ่มผลผลิตได้มากกว่าการสกัดด้วยตัวทำละลายและยังช่วยกำจัดสารประกอบโมเลกุลใหญ่ของซัลเฟอร์และไนโตรเจนบางส่วน § ไฮโดร แคร๊คกิ้ง-เป็นขั้นตอนที่สลับซับซ้อนในการจัดเรียงโมเลกุลของไฮโดรคาร์บอนอิ่มตัวซึ่งกระบวนการนี้จะทำให้ได้สารประกอบไฮโดรคาร์บอนอิ่มตัวได้มากกว่าการทำไฮโดรทรีทติ้งและการสกัดด้วยตัวทำละลาย § ไฮโดรไอโซเมอร์ไรเซชั่น- เป็นการเพิ่มความเสถียรให้กับน้ำมันที่มาจากการทำไฮโดรแคร๊คกิ้งมากขึ้น การใช้น้ำมันพื้นฐานเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอต่อการปกป้องเครื่องยนต์น้ำมันหล่อลื่นเครื่องยนต์ยังต้องมีคุณสมบัติอื่นๆ เพื่อช่วยปกป้องเครื่องยนต์ภายใต้เงื่อนไขต่างๆ ดังนั้นจึงมีการเติมสารเติมแต่งเพื่อให้ได้สูตรที่สมบูรณ์แบบ § สารชะล้างและกระจายสิ่งสกปรก - ใช้เพื่อให้เครื่องยนต์สะอาด, ทำให้สิ่งสกปรกหรือสิ่งเจือปนกระจายตัวออกจากกัน ไม่รวมตัวกันเป็นโคลนตะกอนซึ่งเป็นอันตรายต่อเครื่องยนต์มาก § สารป้องกันสนิมและการกัดกร่อน -ใช้เพื่อป้องกันน้ำและกรดที่เป็นผลมาจากการเผาไหม้ซึ่งทำให้เกิดการกัดกร่อนเครื่องยนต์ได้ § สารต้านทานการเกิดปฏิกิริยาออกซิเดชั่น - เติมเพื่อหยุดยั้งการเกิดออกซิเดชั่นที่ทำให้น้ำมันข้นเหนียวและเป็นโคลนตะกอน § สารป้องกันการสึกหรอ -เป็นการสร้างแผ่นฟิล์มขึ้นมาเคลือบที่ผิวโลหะเพื่อป้องกันการกระแทก,เสียดสี § สารเพิ่มค่าดัชนีความข้นใสและสารลดจุดไหลเท -ช่วยทำให้ระบบการหมุนเวียนของน้ำมันดีขึ้น ถึงตอนนี้คุณทราบแล้วว่าน้ำมันเครื่องคืออะไร ทำมาจากที่ไหนและทำงานอย่างไรส่วนที่จะกล่าวต่อไปนี้ เป็นส่วนที่มีคนสับสนมากที่สุดส่วนหนึ่ง นั่นคือเกรดของน้ำมันเครื่องนั่นเอง น้ำมันเครื่องทำหน้าที่ที่สำคัญที่สุดคือ การหล่อลื่นซึ่งความหนืดของน้ำมันเครื่อง (วัดจากความข้นใส หรือการต้านทานการไหล)จะต้องสามารถที่จะทำงานได้อย่างดี แม้ว่าเครื่องยนต์จะมีอุณหภูมิที่สูงมากโดยที่น้ำมันจะต้องเป็นฟิล์มบางๆเมื่อเครื่องยนต์ร้อนและข้นขึ้นเมื่อเครื่องยนต์เย็นการเลือกเกรดของความหนืดที่เหมาะสมกับอุณหภูมิของรถยนต์ซึ่งวัดจากสถานที่ที่อยู่เป็นสิ่งที่สำคัญมาก น้ำมันที่เป็นโมโนเกรด หมายความว่ามีความหนืดที่เหมาะกับอุณหภูมิหนึ่งๆเท่านั้น ส่วนแบบมัลติเกรดนั้นจะใช้ได้กับทุกสภาพอากาศ จึงทำให้น้ำมันแบบมัลติเกรดได้รับความนิยมมากกว่าจากนักขับซึ่งต้องเผชิญกับอากาศที่ทั้งร้อนและเย็น โดยดูจากตัวเลขแสดงความหนืดสองตัว (อย่างเช่น 10W-30 แสดงว่า 10W คือ ความหนืดที่อุณหภูมิต่ำ สำหรับหน้าหนาว และ 30 สำหรับอุณหภูมิมิสูง)ซึ่งเกิดจากการที่เราใส่สารเติมแต่งทำให้ความหนืดเปลี่ยนแปลงน้อยมากเมื่ออุณหภูมิเปลี่ยนไป ระดับชั้นคุณภาพของน้ำมัน, เกรดของความหนืด และค่าที่เหมาะสมกับพลังงานของน้ำมันสามารถดูได้จากสัญลักษณ์ของ API ซึ่งมีลักษณะเป็น "โดนัท" ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของ API (สถาบันการปิโตรเลี่ยมอเมริกัน) ตัวอักษรสองตัว แสดงถึงคุณภาพของน้ำมันเครื่องและประเภทของเครื่องยนต์ที่เหมาะสม ตัวอักษรแรก "S" หมายความว่าเป็นน้ำมันเครื่องที่เหมาะกับเครื่องยนต์ที่ใช้ประกายไฟในการจุดระเบิดหรือเครื่องยนต์เบนซิน หากตัวอักษรตัวแรกเป็น "C" จะหมายถึงเครื่องยนต์ที่ใช้การบีบอัด ในการจุดระเบิด หรือเครื่องยนต์ดีเซลตัวอักษรตัวที่สองในแต่ละหมวด แสดงระดับชั้นคุณภาพของน้ำมันสำหรับเครื่องยนต์เบนซินนั้น ระดับความมีประสิทธิภาพจะเพิ่มขึ้นตามตัวอักษรแต่สำหรับเครื่องยนต์ดีเซลไม่ได้เป็นเช่นนั้นเพราะมีประเภทและความแตกต่างของตัวเครื่องยนต์ดีเซลเองหลากหลายดังนั้นควรทำตามคู่มือที่มาจากผู้ผลิตเพื่อความเหมาะสมในการเลือก ตรงกลางของ "โดนัท"จะบ่งบอกถึงระดับความหนืดโดย SAE (สมาคมวิศวกรเครื่องยนต์)ส่วนล่างบอกถึงคุณสมบัติของพลังงานตามหลักการทดสอบมาตรฐานของอุตสาหกรรม หากน้ำมันเครื่องนั้นเป็นเครื่องยนต์เบนซินที่มีเครื่องหมาย "S" ที่มีระดับชั้นคุณภาพสูงสุดและมาตรฐานจากพลังงานอยู่ในระดับมาตรฐานก็จะมีสัญลักษณ์ที่เรียกว่า "สตาร์เบิร์สท์" ซึ่งจะพบได้ในฉลากด้านหน้า ข้อยกเว้น ข้อมูลที่ปรากฏในเว็บไซต์นี้มิได้ครอบคลุมข้อมูลด้านรถยนต์ทั้งหมดความถูกต้องแม่นยำมีปัจจัยขึ้นอยู่กับ ระยะเวลา หรือการใช้งานและสภาพแวดล้อมของแต่ละกรณี ในส่วนของ "คำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ"เป็นการบอกกล่าวถึงสาเหตุของการเกิดอันตรายต่างๆเพื่อให้มั่นใจได้ว่าการใช้งานอยู่ในสภาวะที่ปลอดภัยดีอย่างไรก็ตามคุณจะต้องแน่ใจว่าได้ปฏิบัติตามคำแนะนำต่างๆ อย่างถูกต้องและเหมาะสมหากไม่แน่ใจควรติดต่อขอข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญ เราไม่สามารถรับผิดชอบใดๆหากมีการใช้งานที่ไม่ถูกต้อง,ไม่เป็นไปตามข้อมูลที่มีปรากฏในเว็บไซต์
ความหนืดของน้ำมันเครื่อง เป็นอัตราการไหลของปริมาณน้ำมันเครื่องต่อขนาดและความยาวของรู ต่อหน่วยเวลา ณ อุณหภูมิหนึ่ง เช่น น้ำมัน 60 ซีซี (ลูกบาศก์เซนติเมตร) ไหลผ่านรูขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 1.77 มิลลิเมตร ความยาวของรู 12.25 มิลลิเมตร ณ อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียสโดยมีหลายหน่วยการวัด เช่น ระบบเมตริก หน่วย cSt เซนติกโตส, สหรัฐอเมริกา หน่วย SUS, SSU วินาทีเซย์โบลต์, อังกฤษ หน่วย RW1 เรดวู๊ด และยุโรป E อิงเลอร์ โดยมีความแตกต่างกันในรายละเอียดและทุกอุณหภูมิการวัด หน่วยการวัดข้าง ต้นเกี่ยวข้องกับงานอุตสาหกรรมเป็นหลัก ล้วนมีความยุ่งยากในการจดจำ ไม่เป็นสากล และไม่สะดวกในการเลือกใช้น้ำมันเครื่องทั่วโลก จึงมีสมาคมในสหรัฐอเมริกาที่ได้รับการยอมรับจากทั่วโลก กำหนดเกรดความหนืดที่สะดวกและชัดเจนขึ้นใหม่ และง่ายต่อการเลือกของผู้บริโภค เปรียบเทียบกับหลายหน่วยการวัดข้างต้นได้แม่นยำ หน่วยงานนั้นคือ สมาคมวิศวกรรมยานยนต์ SAE - SOCIETY OF AUTOMOTIVE ENGINEERS โดยกำหนดใช้อักษรย่อ SAE ตามด้วยเกรดความหนืดเป็นตัวเลขจำนวนเต็มที่ลงท้ายด้วย 5 หรือ 0 เช่น 15, 30 หรือ 50 ฯลฯ เลขมากยิ่งหนืด เลขน้อยยิ่งใส เช่น 50 หนืดกว่า 40 และ 5 ใสกว่า 20 โดยวัดที่อุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส (210 องศาฟาเรนไฮต์) ซึ่งใกล้เคียงกับอุณหภูมิของน้ำมันเครื่องที่ไหลเวียนขณะเครื่องยนต์ทำงาน ถ้า วัดที่ -18 องศาเซลเซียส (0 องศาฟาเรนไฮต์) ซึ่งใกล้เคียงกับอุณหภูมิของอากาศในบางประเทศที่หนาวจัด เพื่อป้องกันปัญหาน้ำมันเครื่องหนืดเกินไปจนไหลไม่ไหว จะตามท้ายตัวเลขด้วยตัวอักษร W-WINTER เช่น 5W, 10W หรือ 20W ฯลฯ การเลือกน้ำมันเครื่องในไทย ให้สนใจตัวเลขเปล่าๆที่ไม่ได้ตามท้ายด้วย W เพราะไม่มีอุณหภูมิติดลบ อากาศปกติก็ 20-35 องศาเซลเซียสอยู่แล้ว การ เลือกใช้น้ำมันเครื่องในด้านเกรดความหนืด ต้องเกี่ยวข้องกับอุณหภูมิอากาศทั่วไป และสภาพความหลวมของชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์ เพราะต้องมีความหนืดเหมาะสมต่อการไหลเวียนภายในเครื่องยนต์ เช่น ถ้าอากาศภายนอกเย็นจัด น้ำมันเครื่องก็ควรใส ไหลง่าย ในช่วงสตาร์ทเครื่องยนต์และยังไม่ร้อน ถ้าน้ำมันเครื่องหนืดเกินไปก็ไหลเวียนไม่ทัน และอาจทำให้เครื่องยนต์สึกหรอหรือพัง หากอากาศร้อนหรือเมื่อเครื่องยนต์ ร้อนแล้ว แต่น้ำมันเครื่องใสเกิน ก็จะมีชั้นเคลือบบางเกินไป ทำให้เกิดการสึกหรอ และสิ้นเปลืองน้ำมันเครื่องจากการเล็ดลอดผ่านแหวนลูกสูบหรือยางหมวกวาล์วได้ น้ำมันเครื่องทุกชนิดสามารถแบ่งแยกได้อีกโดยเกรดความหนืด คือ - เกรดเดี่ยว-เกรดความหนืดเดี่ยว (SINGLE GRADE) และ - เกรดรวม-เกรดความหนืดรวม (MUTI GRADE) ขอขอบคุณ คุณ : Nicky P. เวปพันทิพย์
น้ำมันเครื่อง ตอนที่3 การเลือกซื้อน้ำมันเครื่อง มาถึงตอนที่ 3 นี้หลังจากที่เราได้ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ ส่วนประกอบของน้ำมันเครื่อง ชนิดต่างๆของน้ำมันเครื่อง หน้าที่ต่างๆ ต่อไปจะเป็นขั้นตอนที่สำคัญคือการเลือกซื้อน้ำมันเครื่อง ให้เหมาะกับรถของเรา ก่อนที่ตอนหน้าจะเป็นวิธีเล่นแรงกับสารหล่อลื่น และมาเรียนรู้ว่าของเล่นเกี่ยวกับน้ำมันเครื่องนั้นมีอะไรกันบ้าง การเลือกซื้อน้ำมันเครื่องให้เหมาะกับเครื่องยนต์ แต่ละประเภท แต่ละภูมิอากาศ และสภาพของเครื่องยนต์มีปัจจัยต่างๆในการเลือกซื้อดังนี้ 1.ค่าความหนืด หรือเบอร์ของน้ำมันเครื่อง 2.เกรดของน้ำมันเครื่อง 3.มาตรฐานของน้ำมันเครื่อง ค่าความหนืด Viscosity ของเหลวทุกชนิดต่างก็มีตัวแปรที่แตกต่างกัน คือค่าความหนืด (Viscosity) หรือความต้านทานการไหล โดยมีตัวแปรอยู่ที่อุณหภูมิ มีหลายหน่วยการวัด เช่นระบบเมตริก cSt เซนติกโตส, หน่วย SUS, SSU วินาทีเซย์โบลต์, การวัดความหนืดของน้ำมันเครื่อง เพื่อให้เป็นไปตามหลักสากล จึงมีหลายๆสถาบันวิจัย วัดค่าความหนืด และทำออกมาเป็นมาตรฐานตามชื่อเรียกของสถาบันต่างๆ เช่น API - AMERICAN PETROLEUM INSTITUTE SAE - SOCIETY OF AUTOMOTIVE ENGINEERS US MILITARY CLASSIFICATION - สถาบันทางทหารของสหรัฐอเมริกา ASTM - AMERICAN SOCIETY FOR TESTING AND MATERIALS CCMC - COMITTEE OF COMMON MARKET CONSTRUCTION เบอร์น้ำมันเครื่อง (เบอร์ 0 – 60) การวัดค่าความหนืดจะวัดกันที่ 100 องศาเซลเซียส ได้เป็นออกมาเป็นค่าความหนืด แทนค่าออกมาเป็นตัวเลขเรียกว่า เบอร์ของน้ำมันเครื่อง (Number)เพื่อให้เป็นมาตรฐานสากลเหมือนกันทั่วโลก ทุกๆสถาบันจึงได้แทนค่าความหนืด ออกมาเป็นตัวเลขในรูปของเบอร์ของน้ำมันเครื่อง เช่น 60, 50, 40, 30, 20, 10 และ 5 ค่าตัวเลขยิ่งมากยิ่งมีความหนืดมาก ตัวเลขน้อยยิ่งมีความหนืดน้อยตามลำดับ ค่า W คืออะไร น้ำมันเครื่องในเขตเมืองหนาว จะมีการวัดต่างออกไปอีกแบบ คือการวัดความต้านทานการเป็นไข โดยวัดตั้งแต่อุณหภูมิต่ำกว่า 20 องศาเซลเซียส ต่ำลงมาจนถึงจุดเยือกแข็งตั่งแต่ 0 องศา จนถึงต่ำกว่า – 30 องศาเซลเซียส โดยมีตัวอักษรระบุไว้เป็นตัวอักษร W หรือ WINTER เช่น 0W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ต่ำกว่า – 30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข 5W = สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง – 30 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข 10W= สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง – 20 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข 15W= สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง – 10 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข 20W= สามารถคงความข้นใสไว้ได้ถึง 0 องศาเซลเซียส โดยไม่เป็นไข เกรดของน้ำมันเครื่อง Single Grad & Multi Grad น้ำมันเครื่องในปัจจุบันแบ่งออกเป็น 2 เกรดด้วยกันคือ 1. น้ำมันเครื่องเกรดเดี่ยว Single Grad หรือ Mono Grad คือน้ำมันเครื่องที่มีความค่าความหนืดเหมาะสมกับเฉพาะอุณหภูมิหนึ่งเท่านั้น โดยเฉพาะอุณหภูมิสูง พออุณหภูมิเริ่มต่ำลง ความหนืดก็จะเพิ่มขึ้น รับรองโดยสถาบันเดียวคือ SAE เช่นน้ำมันเครื่องเบอร์ SAE 50 หรือ SAE 40 ปัจจุบันแม้ว่าจะยังมีขายอยู่ แต่หาซื้อได้น้อยมาก เหมาะกับเครื่องยนต์รอบต่ำ เครื่องยนต์รุ่นเก่าๆ และประเทศเขตร้อน 2. น้ำมันเครื่องเกรดรวม Multi Grad น้ำมันเครื่องมัลติเกรด เป็นน้ำมันเครื่องที่สามารถเปลี่ยนแปลงค่าความหนืดได้ เช่นในอุณหภูมิสูง จะมีความใส พออุณหภูมิต่ำลงก็ยังสามารถคงความข้นใสเอาไว้ได้ เรียกได้ว่ามีช่วงอุรหภุมิการใช้งานที่กว้างขึ้น เพื่อให้เหมาะสมกับการเลือกใช้ทุกอุณหภูมิ ซึ่งจะระบุเป็น 2 ตัวเลข มีอักษร W เป็นตัวคั่นกลางเช่น SAE 20W50 หรือ API 15W40 เป็นต้น ปัจจุบันน้ำมันเครื่องแบบนี้เป็นแบบที่นิยมใช้ และมีขายในท้องตลาดทั่วๆไป นิยมใช้กับรถรุ่นใหม่ และประเทศในเขตหนาวเย็น และยังสามารถใช้งานได้ทุกสภาวะอากาศ มาตรฐานของน้ำมันเครื่อง เบนซิล (S) & ดีเซล (C) น้ำมันเครื่องที่ใช้กับรถยนต์ แบ่งได้ออกเป็น 2 มาตรฐาน ตามลักษณะการใช้เชื้อเพลิงของเครื่องยนต์ว่าเป็นชนิด แก๊สโซลีน หรือ ดีเซลเป็นเชื้อเพลิง เพราะเครื่องยนต์ทั้งสองชนิด จะมีการออกแบบที่แตกต่างกัน อีกทั้งการเผาไหม้ของทั้งสองเชื้อเพลิง ต่างก็ได้เขม่า และสารตกค้างหลังการเผาไหม้ที่ไม่เหมือนกัน น้ำมันเครื่องจึงต้องผสมสารปรุงแต่ง หรือ Additive ให้เหมาะสมกับเครื่องยนต์แต่ละประเภท ซึ่งสัญลักษณ์การกำหนดมาตรฐานก็จะต่างกัน แล้วแต่ละสถาบันจะเป็นผู้กำหนด ยกตัวอย่างมาตรฐาน API เพราะถือว่าน้ำมันเครื่องที่วางขายในบ้านเรากว่า 80 เปอร์เซ็นต์จะใช้มาตรฐานนี้ โดยแสดงเครื่องหมายในรูปของวงกลม (โดนัท) ไว้ข้างกระป๋อง หรือแสดงเครื่องหมายให้เห็นอย่างชัดเจน มาตรฐาน API น้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์เบนซิน จะมีอักษรนำหน้าว่า S (Service Stations Classifications) เริ่มจาก SA เป็นมาตรฐานน้ำมันเครื่องรุ่นเก่าๆสมัยแรกๆ ต่อมาได้พัฒนาและปรับเปลี่ยนมาตรฐานให้สูงมากขึ้นตามเทคโนโลยี่จนปัจจุบัน SM ถือว่าเป็นมาตรฐานสูงสุด น้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล จะมีอักษรนำหน้าว่า C (COMMERCIAL SERVICE-COMPRESSION IGNITION) เริ่มจากมาตรฐาน CA – CB จนในปัจจุบันมาตรฐานสูงสุดของน้ำมันเครื่องสำหรับเครื่องยนต์ดีเซลคือ CI-4 ส่วนเลข 4 จะหมายถึงกับใช้เครื่องยนต์แบบ 4 จังหวะ ดังนั้นการแสดงค่ามาตรฐานข้างกระป๋อง จะมีการระบุค่าขึ้นต้นด้วย หน่วยงานรับรองมาตรฐาน เช่น API แล้วตามท้ายด้วย อักษรค่ามาตรฐาน เช่นถ้าเป็นน้ำมันเครื่องที่เหมาะกับเครื่องยนต์เบนซิล อักษรนำหน้าจะเป็นตัว S… แล้วตามด้วยว่าถ้านำไปใช้กับเครื่องยนต์ดีเซลจะมีค่ามาตรฐานเป็น C… เป็นต้น อักษรใดขึ้นก่อน ถือว่าเป็นน้ำมันเครื่องที่เหมาะกับเครื่องยนต์เชื้อเพลิงนั้น น้ำมันเครื่องแต่ละชั้นคุณภาพจะถูกพัฒนามาให้เหมาะสมกับเครื่องยนต์แต่ละรุ่น ดังต่อไปนี้ API เบนซิน เครื่องยนต์ ปี พ.ศ. API ดีเซล เครื่องยนต์ ปี พ.ศ. SA ใช้กับเครื่องยนต์รุ่นเก่า ปัจจุบันเลิกใช้แล้ว CA ใช้กับเครื่องยนต์รุ่นเก่า ปัจจุบันเลิกใช้แล้ว SB CB SC 2507 – 2510 และเครื่องยนต์การเกษตรบางรุ่น CC ยังใช้กับเครื่องยนต์การเกษตรบางรุ่น SD 2511 – 2513 CD ใช้กับเครื่องยนต์ติดเทอร์โบชาร์จ หรืองานหนักได้ ขณะนั้นใช้กับ น้ำมันดีเซลกำมะถันสูง SE 2514 – 2522 การพัฒนาเครื่องยนต์ให้มีขนาดเล็กลง กำลังอัด ความเร็วรอบ และอุณหภูมิสูงขึ้น CE 2526 เริ่มลดอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเครื่อง SF 2523 – 2531 CF-4 2533 ใช้กับเครื่องยนต์รอบจัด และ เริ่มเน้นการประหยัดเชื้อเพลิง SG 2532 – 2536 เริ่มเน้นการประหยัดเชื้อเพลิง CF 2537 ใช้กับเครื่องยนต์ INDIRECT INJECTION และน้ำมันดีเซลที่มีกำมะถันสูง SH 2537 – 2539 CG-4 2537 ใช้กับเครื่องยนต์รอบจัด งานหนัก ความเร็วรอบสูง น้ำมันดีเซลกำมะถันต่ำ SJ 2540 – 2544 CH-4 2541 ใช้กับเครื่องยนต์รอบจัด งานหนัก ความเร็วรอบสูงขึ้น และใช้น้ำมันดีเซลที่มี กำมะถันต่ำ ( ปัจจุบันกำหนดไม่สูงกว่า 0.05 %) SL ชั้นคุณภาพสูงสุดสำหรับเครื่องยนต์ เบนซินรุ่นใหม่ ประกาศใช้เมื่อ 1 ก.ค. 2544 CI-4 ชั้นคุณภาพสูงสุดสำหรับเครื่องยนต์ดีเซล รุ่นใหม่ ที่ผ่านมาตรฐานมลพิษที่เข้มงวดขึ้น ประกาศใช้เมื่อ 5 ก.ย. 2545 (ขอขอบคุณข้อมูลส่วนนี้จากกรมธุรกิจพลังงาน) กว่าจะได้เป็นมาตรฐานเขาต้องวัดอะไรกันบ้าง 1.ค่าความถ่วงจำเพาะ (Specific Gravity @ 60o/60oF) ของน้ำมันเครื่องเมื่อใช้แล้ว กับน้ำมันเครื่องก่อนใช้ 2.ค่าความหนืด Viscosity Kinematic @ 40oC, cSt. และ Viscosity Kinematic @ 100oC, cSt. เป็นการวัดค่าความหนืดเริ่มต้นที่ 40 องศาเซลเซียส จนถึงอุณหภูมิ 100 องศาเซลเซียส เทียบค่าออกเมาเป็น Number หรือเบอร์ของน้ำมันเครื่องต่างๆ 3.ค่าดัชนีความหนืด (Viscosity Index - VI) โดยทดสอบดูว่าสารเคมีเพิ่มดัชนีความหนืด ยังคงความสามารถทำให้น้ำมันเครื่องมีความหนืดมากขึ้น หรือความหนืดน้อยลงเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น เปรียบเทียบน้ำมันเครื่องก่อนใช้งาน และหลังใช้งาน 4.จุดวาบไฟ (Flash Point ) น้ำมันเครื่องต้องคงสภาพ ไม่ระเหยเป็นไอ และลุกติดไฟก่อนที่อุณหภูมิกำหนด อยู่ในราว 160 -320 องศาเซลเซียส ขึ้นอยู่กับความข้นใสของน้ำมันเครื่อง น้ำมันเครื่องเบอร์ใส จะมีจุดวาบไฟ และระเหยกลายเป็นไอ ที่อุณหภูมิต่ำ เป็นเหตุที่น้ำมันเครื่องระเหยตัวเร็ว จุดวาบไฟยังขึ้นอยู่กับฐานการผลิต ของน้ำมันเครื่องพื้นฐานด้วย 5.ปริมาณน้ำ (Water Content) ในน้ำมันเครื่องทั่วไปจะมีน้ำผสมอยู่ เป็นตัวการก่อให้เกิด การทำปฏิกิริยากับ สารป้องกันการสึกหรอ (ZDDP) ทำปฏิกิริยากลายเป็นเชื้อรา และแบคทีเรีย ทำให้ความหนืดของน้ำมันเครื่องเปลี่ยนแปลงเองได้ มาตรฐานน้ำที่ปะปนอยู่ต้องไม่เกินร้อยละ 0.2 6.ค่าความเป็นด่าง (Total Base Number - TBN) ในน้ำมันเครื่องทั่วๆไปจะมีค่าเป็นกรดอยู่เล็กน้อย และเมื่อใช้งานจะเกิดปฏิกิริยารวมตัวกับออกซิเจน (Oxidation) กลายเป็นกรดเพิ่มขึ้น และกรดก็มีความอันตรายต่อชิ้นส่วนของโลหะ ดังนั้นสารเคมีเพิ่มคุณภาพ จึงจะมีลักษณะเป็นด่าง และเมื่อใช้งานแล้ว ปริมาณความเป็นด่างจะลดลง เป็นผลโดยตรงกับอายุการใช้งานของน้ำมันเครื่อง เรียกว่าค่า TBN (Total Base Number) 7.ปริมาณกากไม่ละลายในเพนเทน (n - Pentane Insoluble) คือค่าการรวมตัวกับออกซิเจน ซึ่งจะทำให้เกิดคราบยางเหนียว ความหนืดของน้ำมันเครื่องเพิ่มขึ้น ซึ่งขึ้นอยู่กับสารเพิ่มคุณสมบัติของน้ำมันเครื่อง มาดูตัวอย่างการอ่านฉลากข้างกระป๋องน้ำมันเครื่อง คำอธิบาย Fully Synthetic = น้ำมันเครื่องสังเคราะห์แบบเต็มขั้น SAE 5W-30 = มาตรฐานความข้นใส รับรองโดยสถาบัน SAE เบอร์ 30 ค่าต้านทานความเป็นไข 5W หรือ – 30 องศาเซลเซียส API SM/CF = ค่ามาตรฐานรับรองโดยสถาบัน API ในการใช้กับเครื่องยนต์เบนซิล ในระดับ SM ส่วนถ้าใช้กับเครื่องยนต์ดีเซลในระดับ CF เท่านั้น คำอธิบาย SAE 10W-40 = มาตรฐานความข้นใสจากสถาบัน SAE เบอร์ 40 ค่าต้านทานความเป็นไขที่ 10W หรือ -20 องศาเซลเซียส API SM/CF = ค่ารับรองมาตรฐานจากสถาบัน API ในการใช้กับเครื่องยนต์เบนซิล ในระดับ SM และดีเซลในระดับ CF PREMIUM GRADE SEMI – Synthetic = เป็นน้ำมันเครื่องแบบกึ่งสังเคราะห์ เกรดดีเยี่ยม FOR NGV, LPG & GASOLINE = ใช้ได้กับเครื่องยนต์ แบบใช้แก๊ส NGV หรือ LPG และเครื่องยนต์เบนซิลทั่วไป คำอธิบาย SAE 15W-40 = มาตาฐานความข้นใสจากสถาบัน SAE เบอร์ 40 ค่าต้านทานความเป็นไขที่ 10W หรือ -10 องศเซลเซียส API CH4/SL = มาตารฐาน API สำหรับเครื่ยนต์ดีเซล ระดับ CH4 และเครื่องยนต์เบนซิลระดับ SL GOBAL DHD1 = มาตรฐานสากลทั่วโลก DHD1 PREMIME GRADE HEAVY DUTY DESEL ENGINE Oil = เป็นเกรดสูง เหมาะกับเครื่องยนต์ดีเซลใช้งานหนัก อายุการใช้งานของน้ำมันเครื่อง น้ำมันเครื่องเมื่อถูกใช้งานจะเริ่มเสื่อมคุณภาพลงเรื่อยๆ เนื่องจากการสะสมของกรด ที่เข้ามาทำลายด่างในน้ำมันเครื่อง การสะสมของน้ำ การปะปนกับฝุ่นผงที่เล็ดลอดมาจากไส้กรองอากาศ คราบเขม่าในการเผาไหม้ และเศษโลหะจากการสึกหรอของเครื่องยนต์ ดังนั้นน้ำมันเครื่องจึงต้องได้รับการเปลี่ยนถ่าย ก่อนที่คุณสมบัติในการหล่อลื่น และคุณสมบัติอื่นจะเสื่อมสภาพ เพื่อป้องกันอันตรายที่เกิดกับเครื่องยนต์ แต่ด้วยคุณสมบัติ และชนิดของน้ำมันเครื่องที่แตกต่างกัน จึงได้มีการตั้งระยะการเปลี่ยนถ่ายไว้ในรูปแบบของค่าเฉลี่ยดังนี้ น้ำมันเครื่องที่ไม่ได้ใช้มีอายุหรือไม่ น้ำมันเครื่องส่วนมากมีวัตถุดิบ มาจากน้ำมันแร่ที่ได้มาจากธรรมชาติ แม้จะมีสารเพิ่มคุณสมบัติต่างๆ แต่ก็สามารถบูดเสียได้ น้ำมันเครื่องที่บรรจุอยู่ในแกลลอนวางขาย และยังไม่ได้เปิดใช้ จะมีอายุการคงสภาพอยู่ที่ 1- 3 ปี ส่วนน้ำมันเครื่องที่เปิดฝาแล้ว จะมีอายุการใช้งานอยู่หลักเดือน ราว 2 – 6 เดือน ส่วนน้ำมันเครื่องที่เปิดฝา แล้วไม่ได้ปิดฝาจะถือว่าใช้งานไม่ได้ สังเกตอย่างไรว่าน้ำมันเครื่องที่ใช้อยู่เริ่มหมดสภาพ การเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องทุกครั้งต้องมีการจดบันทึก วันที่ เดือน ปี และเลขไมล์กิโลเมตร ไว้ด้วยทุกครั้ง เพื่อใช้เป็นการคำนวณกำหนดการเปลี่ยนถ่าย แต่เราเองยังสามารถสังเกตการณ์ทำงานที่เปลี่ยนไปของ ความหล่อลื่นน้ำมันเครื่องที่เริ่มเสื่อมสภาพได้เช่น 1 เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้น 2. อัตราเร่งแย่ลง อืดลงอย่างต่อเนื่อง 3. กินน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น 4. สีของน้ำมันเครื่องเปลี่ยนไป 5. น้ำมันเครื่องมีลักษณะข้นขึ้น หรือใสขึ้น กำหนดการเปลี่ยนถ่ายของน้ำมันเครื่องที่ปลอดภัย น้ำมันเครื่องธรรมดา เกรด SA – SC / CA – CE จะมีกำหนดการเปลี่ยนถ่ายที่ 3,000 กิโลเมตร แต่ไม่เกิน 5,000 กิโลเมตร น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ เกรด SG – SM / CF4 – CG4 จะมีกำหนดการเปลี่ยนถ่ายที่ 5,000 กิโลเมตร ถึง 1,0000 กิโลเมตร แต่ไม่เกิน 15,000 กิโลเมตร น้ำมันเครื่องธรรมดา และกึ่งสังเคราะห์ + หัวเชื้อน้ำมันเครื่องเกรดสูง น้ำมันเครื่องที่ผสมหัวเชื้อ อาจมีค่าสูงกว่ามาตรฐาน อายุน้ำมันเครื่องจะเพิ่มจาก 5,000 กิโลเมตร ได้เป็นกว่า 10,000 กิโลเมตร หรือถ้าเป็นกึ่งสังเคราะห์จะเพิ่มอายุการเปลี่ยนถ่าย ที่ 10,000 กิโลเมตร เป็นได้กว่า 20,000 กิโลเมตร แต่ด้วยอายุของไส้กรอง จึงมีค่าเฉลี่ยการเปลี่ยนถ่ายที่ 10,000 – 15,000 กิโลเมตร น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ เกรด SJ - SM / CH4 - CI4 จริงแล้วน้ำมันเครื่องสังเคราะห์จะมีอายุการใช้งานยาวนานนับแสนกิโลเมตร แต่อายุการใช้งานของไส้กรองน้ำมันเครื่องแบบมาตรฐานทั่วๆไป จะอยู่ได้ราว 15,000 กิโลเมตร ถึง 20,000 กิโลเมตร จึงทำให้กำหนดการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องแบบสังเคราะห์ควรอยู่ที่ 10,000 กิโลเมตร ถึง 20,000 กิโลเมตร ค่าเฉลี่ยกำหนดการเปลี่ยนถ่ายของน้ำมันเครื่อง อาจต้องมีการเปลี่ยนแปลงให้เร็วกว่ากำหนด ตามสภาพการใช้งานดังนี้ 1.ขับรถลุยน้ำในระดับที่สูง ซึ่งอาจคาดว่าจะมีน้ำปะปนเข้าสู่เครื่องยนต์ได้ 2.ใช้งานประเภทสมบุกสมบัน รถยนต์ในที่ใช้ในทางฝุ่น อยู่เป็นประจำ 3.ในหน้าฝน ที่ต้องใช้รถขับลุยสายฝนอยู่เป็นประจำ หรือขับรถลุยน้ำท่วมอยู่เป็นประจำ 4.เครื่องยนต์หลวม ซึ่งมีการระเหยของน้ำมันเครื่องสูง และมีเขม่าเล็ดลอดเข้ามาปะปนอยู่มาก 5.เครื่องยนต์รอบจัด ที่ต้องใช้งานรอบจัดอยู่เสมอ ความร้อนสูง และต้องการให้ชิ้นส่วนสึกหรอน้อยที่สุด 6.เครื่องยนต์ที่ติดตั้งกรองเปลือย ที่คาดว่าจะฝุ่นผงปะปนเข้าสู่เครื่องยนต์ได้มากกว่าปกติ 7.เครื่องยนต์ที่ต้องการความเร็วสูงสุด อย่างพวกรถแข่ง ซึ่งต้องมั่นใจได้ว่า คุณสมบัติของน้ำมันเครื่องต้องไม่ลดลงแม้แต่เปอร์เซ็นต์เดียว
|